โรคลมพิษ เป็นโรคที่ผิวหนังมีลักษณะเป็นผื่นหรือปื้นนูนแดง ไม่มีขุย มีอาการคัน เกิดขึ้นค่อนข้างเร็ว โดยที่แต่ละผื่นมักจะคงอยู่ไม่นาน มักไม่เกิน 24 ชั่วโมง ผื่นนั้นก็จะราบหายไปโดยไม่ทิ้งรอยดำ แต่ก็อาจมีผื่นใหม่ขึ้นที่อื่นได้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีตาบวมหรือริมฝีปากบวมได้ บางรายอาจมีอาการปวดท้อง แน่นจมูก คอ หายใจไม่สะดวก รายที่มีอาการรุนแรงอาจมีอาการหอบ หรือเป็นลมจากภาวะความดันโลหิตต่ำได้ แต่ก็พบน้อยมาก
โรคลมพิษแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
• ลมพิษเฉียบพลัน เป็นมาไม่เกิน 6 สัปดาห์ สาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจาก อาหาร ยา การติดเชื้อ
• ลมพิษเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ ต่อเนื่องกันเกิน 6 สัปดาห์
สาเหตุของโรคลมพิษ
• อาหาร เช่น อาหารทะเล สารกันบูด สีผสมอาหารบางชนิด
• ยา
• การติดเชื้อ ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา หรือพยาธิ
• โรคระบบต่อมไร้ท่อ เช่น โรคต่อมไทรอยด์
• อิทธิพลทางกายภาพ ผู้ป่วยบางรายมีปฏิกิริยาของผิวหนังที่ตอบสนองผิดปกติต่อความร้อน ความเย็น น้ำหนักกดรัด แสงแดด การออกกำลังกาย เป็นต้น
• การแพ้สารที่สัมผัส เช่น การแพ้ยาง (latex) ขนสัตว์ พืช อาหารบางชนิด
• ปฏิกิริยาแพ้พิษแมลง เช่น ปฏิกิริยาที่เกิดจากผึ้ง ต่อต่อย
• มะเร็ง เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือระบบอื่น ๆ ของร่างกาย
• ระบบภูมิคุ้มกันต่อต้านตัวเอง
• ไม่มีสาเหตุ ผู้ป่วยลมพิษจำนวนมาก แม้ว่าแพทย์จะได้พยายามตรวจหาสาเหตุอย่างละเอียดแล้ว แต่ก็ยังหาสาเหตุไม่พบ ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า ความรู้ทางการแพทย์ปัจจุบันยังไม่มากพอที่จะอธิบายหาสาเหตุได้ทั้งหมด
ดังนั้น ผู้ป่วยลมพิษจึงควรพบแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุ ซึ่งหากพบสาเหตุที่ก่อให้เกิดลมพิษและหลีกเลี่ยงหรือรักษาสาเหตุนั้นได้ จะทำให้โรคลมพิษสงบลงหรือหายขาดได้
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ จะทำเมื่อมีข้อบ่งชี้จากประวัติและการตรวจร่างกายเพื่อหาสาเหตุ หรือทำในรายที่เป็นลมพิษเรื้อรังที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาปกติ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น
• ตรวจเลือด
• ตรวจอุจจาระ
• ตรวจฟัน
การทดสอบภูมิแพ้
• การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังโดยวิธีสะกิด (skin prick testing, SPT)
• เจาะเลือดตรวจ serum specific IgE
ทั้งสองวิธี เป็นการตรวจหาการแพ้ชนิด IgE-mediated อย่างไรก็ตาม ผลบวกจากการทดสอบนี้ไม่ได้เป็นการวินิจฉัยว่า อาการทางคลินิกนั้นจะเกิดจากแพ้สารตัวนี้เสมอไป จำเป็นต้องแปลผลร่วมกับอาการทางคลินิกของผู้ป่วยร่วมด้วยเสมอ
การวินิจฉัยการแพ้อาหาร
เนื่องจากปฏิกิริยาต่ออาหาร อาจเกิดได้ทั้งกลไกที่เกี่ยวข้องกับ IgE ( IgE-mediated) และกลไกที่ไม่เกี่ยวข้องกับ IgE (non-IgE-mediated reaction) ดังนั้น Gold standard ในการวินิจฉัยการแพ้อาหาร คือการทำ double-blinded, placebo-controlled food challenge (การทดลองกินอาหารแบบปกปิด)
การวินิจฉัยการแพ้อาหารที่เป็น IgE-mediated reaction ทำได้โดย skin prick testing หรือเจาะเลือดตรวจ serum specific IgE ซึ่งก็ต้องระมัดระวังในการแปลผลอย่างที่ได้กล่าวไป
ส่วนการตรวจ specific serum IgG ต่ออาหารน้ันไม่มีประโยชน์ และทำให้การแปลผลผิดพลาดได้
การรักษาโรคลมพิษ
• พยายามหาสาเหตุ เพื่อรักษาหรือหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคลมพิษ หากทำได้
• ยาต้านฮีสตามีน โดยยาต้านฮีสตามีนมีหลายชนิด หลายกลุ่ม มีทั้งที่ออกฤทธิ์สั้นและออกฤทธิ์ยาว ทั้งที่ง่วงและไม่ง่วง การจะเลือกใช้ยาต้านฮีนตามีนตัวใดขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์ การตอบสนองต่อยาต้านฮีสตามีนในผู้ป่วยแต่ละรายอาจไม่เหมือนกัน ผู้ป่วยบางรายใช้ยาเพียงตัวเดียวก็ได้ผลดี แต่บางรายแพทย์อาจต้องใช้ยาหลายตัวร่วมกัน เพื่อควบคุมอาการ
• ยาอื่นๆ ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการมาก แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาอื่นที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างและหลั่งสารสื่อกลางในผิวหนังที่เป็นตัวก่อให้เกิดผื่นลมพิษ
การปฏิบัติตัวในผู้ป่วยโรคลมพิษ
ผู้ป่วยลมพิษที่ผื่นเป็นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มลมพิษเฉียบพลัน ที่มีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก ปวดท้อง มีหน้าบวม ตาบวม ปากบวมมาก ควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว เนื่องจากอาการเหล่านี้ เช่น อาการแน่นหน้าอก เกิดจากมีการบวมของเยื่อบุทางหายใจ อาจทำให้เกิดอาการหอบ จนถึงแก่ชีวิตได้
ในผู้ป่วยที่มีเฉพาะผื่นลมพิษที่ผิวหนังควรปฏิบัติตัวดังนี้
• งดสิ่งกระตุ้นให้เกิดผื่นลมพิษตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด
• มียาต้านฮีสตามีนติดตัวไว้เสมอ เมื่อเกิดอาการจะได้ใช้ได้ทันที
• ทำจิตใจให้สบายไม่เครียด
• ไม่แกะเกาผิวหนัง เนื่องจากอาจทำให้เกิดผิวหนังอักเสบจากการเกา
• รับประทานยาตามแพทย์สั่ง หากยาทำให้เกิดอาการง่วงซึม จนรบกวนการทำงานควรแจ้งแพทย์เพื่อเปลี่ยนยา
การพยากรณ์โรค
• ผู้ป่วยที่เป็นโรคลมพิษชนิดเฉียบพลัน ที่หาสาเหตุและแก้ไขได้ เมื่อรับประทานยาต้านฮีสตามีน ผื่นลมพิษมักหายได้ใน 1-2 สัปดาห์ แต่ในผู้ป่วยบางรายที่หาสาเหตุได้ไม่ชัดเจน ผื่นอาจขึ้นต่อเนื่องไปจนเป็นลมพิษเรื้อรัง
• ผู้ป่วยที่เป็นโรคลมพิษชนิดเรื้อรัง ที่ได้รับการสืบค้นจนทราบสาเหตุและแก้ไขสาเหตุได้ เมื่อรับประทานยาต้านฮีสตามีน ผื่นลมพิษมักหายได้เช่นเดียวกับกรณีของผู้ป่วยที่เป็นโรคลมพิษชนิดเฉียบพลัน แต่ถ้าหาสาเหตุไม่พบหรือเป็นสาเหตุที่แก้ไขไม่ได้โดยง่าย โรคมักเรื้อรัง แพทย์จำเป็นต้องให้ยาตั้งแต่ 1 ชนิดขึ้นไป เพื่อควบคุมอาการผื่นลมพิษให้ได้ เมื่อควบคุมอาการได้แล้ว แพทย์จะค่อยๆ ลดยาลงเพื่อควบคุมโรคในระยะยาว และพยายามหยุดยาถ้าทำได้ ผู้ป่วยบางรายโรคอาจเรื้อรังเป็นปี อย่างไรก็ตามผื่นลมพิษชนิดเรื้อรังส่วนใหญ่อาการมักไม่รุนแรง ผู้ป่วยและญาติไม่ควรวิตกกังวลจนเกินไป
แพ็กเกจแนะนำ
บทความสุขภาพอื่นๆ
VDO ความรู้สุขภาพ
บทความโดย
ศูนย์ผิวหนัง ชั้น 4
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม/นัดหมาย
ศูนย์ผิวหนัง (Advance Skin Center) ชั้น 4
โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล ( WMC )
โทร. 02-836-9999 ต่อ *4521-2