สัญญาณของโรคร้ายมักจะมาจากความเจ็บปวดเพียงนิดที่เรามักมองข้ามไป เพราะคิดว่าเป็นเพียงอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นและจะหายไป แต่ในความจริงแล้ว สัญญาณนั้นอาจเป็นการเตือนโรคร้ายที่ส่งผลถึงชีวิตอย่าง “โรคหัวใจ”

สัญญานเสี่ยง “โรคหัวใจ”

• การมีโรคประจำตัวที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วน และไขมันในเลือดสูง เป็นต้น
• มีอาการแน่นหน้าอก ใจสั่น หายใจหอบ และปวดร้าวที่แขน คอ และกราม
• มีอาการหน้ามืด หมดสติ
• เหนื่อยง่าย ใจสั่น เดินไกลไม่ได้ และในบางรายอาจเหนื่อยมากจนไม่สามารถนอนราบได้
• มีอาการขาบวม ซึ่งหากใช้มือกดลงไปบริเวณหน้าแข้งหรือปลายเท้า แล้วยกออก เนื้อจะบุ๋มลงไปไม่คืนตัว

แม้จะสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นของความเสี่ยงโรคหัวใจ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการเข้าพบแพทย์ตรวจสุขภาพประจำปีหาความผิดปกติ เพื่อให้ทำการรักษาได้อย่างทันท่วงทีซึ่งการตรวจโรคหัวใจก็สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้

วิธีการตรวจความผิดปกติของหัวใจ

• การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocadiogram)
  คือ การตรวจคลื่นไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อหัวใจ และสังเกตความผิดปกติของจังหวะหัวใจผ่านคลื่นไฟฟ้าที่แสดงออกมา
• การบันทึกคลื่นไฟฟ้าชนิดติดตัว (Holter monitor)
  คือ เครื่องมือพกติดตัวที่ใช้ติดตามบันทึกความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจตลอด 24 ชม.
• การตรวจสมรรถภาพหัวใจ (Exercise Stress Test)
  คือ การตรวจสภาวะหัวใจขณะทำกิจกรรมว่าปริมาณเลือดที่ไหลเข้ามาหล่อเลี้ยงเพียงพอหรือไม่ ด้วยการออกกกำลังกายบนสายพานเลื่อน
• การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocadiography)
  คือ การตรวจการเคลื่อนตัวและการบีบตัวของหัวใจว่ามีความปกติหรือไม่ ด้วยการใช้คลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง
• การตรวจสวนหัวใจ (Coronary Angiogram)
  คือ การตรวจสอบความตีบแคบหรือตันของหลอดเลือด ผ่านการฉีดสีเข้าไปที่เส้นเลือดส่วนเลี้ยงหัวใจ
• การตรวจหัวใจด้วยเครื่องเอ๊กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ 64 สไลซ์ (CT Scan 64 slice)
  คือ การตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ และ ตรวจหาปริมาณแคลเซียมหรือหินปูนที่เกาะตามผนังหลอดเลือดหัวใจ

เพราะสิ่งที่ดีที่สุดคือการป้องกัน ไม่ใช่การแก้ไข ดังนั้น ก่อนเกิดสัญญานที่บ่งชี้ถึงความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจเช็คสุขภาพ ให้การรักษาเป็นไปได้อย่างทันท่วงที